Proxy Detection: เว็บไซต์จับ Proxy ได้ยังไง & วิธีหลีกเลี่ยงการโดนบล็อก

Proxy Detection คืออะไร?
Proxy Detection คือกระบวนการที่เว็บไซต์และแพลตฟอร์มออนไลน์ใช้เพื่อตรวจจับว่าผู้ใช้กำลังเข้าถึงเว็บไซต์ผ่าน Proxy หรือไม่ หลายเว็บไซต์ เช่น Google, Facebook, Netflix, และแพลตฟอร์ม E-commerce ต่างใช้เทคโนโลยีตรวจจับ Proxy เพื่อป้องกันการละเมิดกฎ เช่น การใช้ Proxy เพื่อข้ามข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์ (Geo-Restriction), การทำ Web Scraping, หรือการจัดการหลายบัญชีโซเชียลมีเดียพร้อมกัน
ทำไมเว็บไซต์ต้องตรวจจับ Proxy?
ป้องกันการฉ้อโกง (Fraud Prevention)
- หลายแพลตฟอร์มใช้ Proxy Detection เพื่อป้องกันการปลอมแปลงตัวตน เช่น การสมัครบัญชีปลอม, การทำธุรกรรมที่ไม่ถูกต้อง หรือการใช้บอทอัตโนมัติ
ป้องกัน Web Scraping และ DDoS Attacks
- เว็บไซต์ E-commerce และ Search Engines ป้องกันบอทที่ใช้ Proxy ในการดึงข้อมูลอัตโนมัติ หรือโจมตีระบบเซิร์ฟเวอร์
บังคับใช้ข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์ (Geo-Restriction)
- แพลตฟอร์ม Streaming เช่น Netflix และ Disney+ ใช้ Proxy Detection เพื่อบล็อกผู้ใช้ที่พยายามเข้าถึงเนื้อหาที่ไม่รองรับในประเทศของตน
ป้องกันการจัดการหลายบัญชี (Multi-Account Management)
- Social Media และ Marketplace อย่าง Facebook และ eBay ป้องกันผู้ใช้จากการสร้างและใช้งานหลายบัญชีพร้อมกันผ่าน Proxy
วิธีที่เว็บไซต์ตรวจจับ Proxy
การตรวจสอบ IP Address (IP Blacklist Checking)
- เว็บไซต์ใช้ฐานข้อมูลของ IP Proxy ที่เคยถูกระบุว่าเป็น Proxy เช่น MaxMind, IP2Proxy, IPQualityScore เพื่อตรวจจับ Proxy ที่ใช้กันทั่วไป
การตรวจจับความผิดปกติของ IP (IP Fingerprinting)
- หาก IP Address เปลี่ยนไปบ่อย ๆ หรือมาจากประเทศหนึ่งแต่มีพฤติกรรมการใช้งานจากอีกประเทศ อาจถูกระบุว่าเป็น Proxy
การตรวจสอบ WebRTC & DNS Leak
- เว็บไซต์สามารถใช้ WebRTC และ DNS Leak Test เพื่อตรวจสอบว่าที่อยู่ IP จริงของผู้ใช้แตกต่างจาก IP ที่ Proxy กำหนดหรือไม่
การตรวจสอบพฤติกรรมการใช้งาน (Behavior Analysis)
- การเข้าถึงเว็บไซต์จากหลายบัญชี, การส่งคำขอจำนวนมากเกินไป (เช่น Scraping Bots), หรือพฤติกรรมที่ผิดปกติอาจทำให้ถูกบล็อกได้
การใช้ CAPTCHA และ Rate Limiting
- เว็บไซต์อาจขอให้ผู้ใช้กรอก CAPTCHA เพื่อพิสูจน์ว่าพวกเขาเป็นมนุษย์ ไม่ใช่บอทที่ใช้ Proxy ในการหลบเลี่ยงระบบตรวจจับ
วิธีหลีกเลี่ยงการถูกบล็อกจาก Proxy Detection
ใช้ Residential Proxy หรือ Mobile Proxy
- Residential Proxy เป็น IP จากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตจริง ทำให้ตรวจจับได้ยากกว่าระบบ Datacenter Proxy
- Mobile Proxy (4G/5G) มีความน่าเชื่อถือสูงสุด เพราะมาจากเครือข่ายมือถือที่ใช้กันทั่วไป
ใช้ Rotating Proxy เพื่อลดการตรวจจับ
- เปลี่ยน IP Address อัตโนมัติทุกครั้งที่เข้าถึงเว็บไซต์ ลดโอกาสที่ IP เดียวกันจะถูกบล็อก
เลี่ยงการใช้ Public Proxy หรือ Proxy ฟรี
- Proxy ฟรีมักถูกใช้โดยผู้ใช้จำนวนมาก และเว็บไซต์สามารถบล็อก IP ได้ง่าย
ปิด WebRTC และ DNS Leak ในเบราว์เซอร์
- ป้องกันไม่ให้เว็บไซต์เห็น IP จริงของคุณโดยใช้เบราว์เซอร์ที่รองรับการปิด WebRTC เช่น Brave หรือ Firefox
ปรับพฤติกรรมการใช้งาน
- หลีกเลี่ยงการส่งคำขอมากเกินไปในเวลาอันสั้น เช่น Web Scraping ควรตั้งค่าการดึงข้อมูลให้ดูเป็นธรรมชาติขึ้น
ใช้ Residential VPN หรือ ISP Proxy
- VPN ที่ใช้ Residential IP จะช่วยให้ดูเหมือนการเชื่อมต่อจากที่อยู่จริง ลดโอกาสถูกบล็อก
สรุป: วิธีใช้ Proxy โดยไม่ถูกตรวจจับ
หลีกเลี่ยง Public Proxy และ Proxy ฟรีที่มีความเสี่ยงสูง
ใช้ Residential Proxy หรือ Mobile Proxy เพื่อลดการถูกบล็อก
ใช้ Rotating Proxy เพื่อเปลี่ยน IP Address อัตโนมัติ
ปิด WebRTC และ DNS Leak เพื่อซ่อน IP จริง
ปรับพฤติกรรมการใช้งานให้เหมือนผู้ใช้ทั่วไปเพื่อลดความเสี่ยงจากการตรวจจับ
สนับสนุนเว็บไซต์ โดย
โปรแกรมช่วย โพส แชร์ คอมเม้น อัตโนมัติ คลิกเพื่อสั่งซื้อ

Proxy แบบคงที่ คลิกเพื่อสั่งซื้อ

บัญชี Facebook คลิกเพื่อสั่งซื้อ
